สอ เศรษฐบุตร นักธรณีผู้แปลอังกฤษเป็นไทย

by

สอ เสถบุตร เป็นใคร ก็คงเหมือนกับหลายๆ คนที่รู้แค่ว่าเป็นชื่อคนแปลศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นไทยให้เราได้ใช้เรียนกัน แต่เมื่อได้ตามอ่านชีวประวัติแล้ว พบว่า สอ เสถบุตร มีบทบาทสำคัญมากต่อคนไทยในหลายวงการ ทั้งการศึกษา การเมือง และธรณีวิทยา สอ เสถบุตร เรียนจบทางด้านธรณีวิทยาและวิศวกรรมด้วยใบปริญญาเกียรตินิยม จากอังกฤษ บทความต่อไปนี้คัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด และนิตยสารสารคดีฉบับพิเศษ เพื่อให้ทุกคนรู้จักนักธรณีวิทยาท่านนี้มากขึ้น

“สอ เศรษฐบุตร” ตำนานดิกชันนารีไทย

วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6776 ข่าวสดรายวัน

เขียนโดย คัคนานต์ ดลประสิทธิ์

ถ้าพูดถึงดิกชันนารีไทย หรือพจนานุกรมไทย-อังกฤษ หรือพจนานุกรมอังกฤษ-ไทย คนส่วนใหญ่จะนึกถึงชื่อของ สอ เสถบุตร

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ทางพรีมา พับบลิชชิง ร่วมกับ ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานหวนรำลึกตำนานผู้สร้าง พจนานุกรมอังกฤษ-ไทย เล่มแรก ของประเทศไทย กว่า 4 ทศวรรษ ของ สอ เสถบุตร

“สอ เสถบุตร” ถือเป็นบุคคลตัวอย่างของผู้ไม่ท้อถอย เปี่ยมด้วยคุณภาพที่กลั่นจากอัจฉริยภาพทางภาษา

และมีความมุ่งมั่นเพียรพยายามในการสร้างสรรค์พจนานุกรมอังกฤษ-ไทย อันทรงคุณค่าและมีคุณูปการต่อการศึกษาของชาติ รวมทั้งเป็นต้นแบบของพจนานุกรมในรุ่นต่อๆ มา โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นพจนานุกรมที่ยอดเยี่ยมเป็นที่นิยมสูงสุดของไทย

คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก สอ เสถบุตร ในฐานะผู้แต่ง พจนานุกรม (ไทย-อังกฤษ/อังกฤษ-ไทย) แต่เพียงอย่างเดียว เพราะถือเป็น “งานแห่งชีวิต” ของสอ เสถบุตร

แต่นั่นไม่ใช่งานชิ้นเดียวของท่าน

สอ เสถบุตร มีชีวิตที่แปลกและน่าศึกษา มีเพียงไม่กี่คนที่ทราบว่า บุรุษผู้นี้เป็นวิศวกร โดยการศึกษาเล่าเรียนด้วยทุนคิงสกอลาร์ชิพ เป็นเจ้ากรมเลขาธิการองคมนตรีในราชสำนักของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นนักโทษการเมืองสมัยประชาธิปไตยเริ่มก่อตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยความนิยมของประชาชนชาวธนบุรี และเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักเขียน ด้วยใจรักและพรสวรรค์ในการประพันธ์

ลักษณะเด่นของ สอ เสถบุตร ไม่ได้อยู่ที่ความเจนจัดในแขนงวิชาต่างๆ หากอยู่ที่ความไม่ย่อท้อต่อพรหมลิขิต เมื่อถูกชะตากรรมเล่นงาน ความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น ความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์และความยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างเข้มแข็ง ทำให้ผลงานแห่งชีวิตของ สอ เสถบุตร มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในวงการศึกษาจนถึงทุกวันนี้

สอ เสถบุตร เกิดเวลาเที่ยง ของวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2446 เป็นบุตรของ นายสวัสดิ์ กับ นางเกษร เศรษฐบุตร เริ่มหัดอ่านเขียนภาษาไทยจากแม่ครูชุ่ม และไปเรียนต่อที่โรงเรียนสุขุมมาลัยใกล้ๆ บ้าน ต่อมา พ.ศ.2458 ได้เข้าเรียนชั้นมัธยม 4 ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย

เมื่ออายุได้ 15 ปี ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เนื่องจากบิดาเสียชีวิตจากไข้จับสั่น

สอ เศรษฐบุตร เข้าสอบชิงทุนคิงสกอลาร์ชิพ ได้เป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง ไปเรียนที่ลอนดอน ในปี พ.ศ.2464

พ.ศ.2469 จึงเดินทางกลับมาพร้อมใบปริญญาเกียรตินิยม B.S.c. (HONS) ทางธรณีวิทยาและประกาศนียบัตร F.G.S. ในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ เป็นคนแรกของประเทศไทย

เมื่อกลับมาได้เข้ารับราชการตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญทางธรณีวิทยา ในกรมโลหกิจและภูมิวิทยา

นอกจากนั้นยังได้ทำหนังสือพิมพ์ “บางกอกการเมือง” และหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆ

ต่อมาจากการที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้อ่านบทความของ สอ เศรษฐบุตร ในหนังสือพิมพ์ Bangkok Dailymail แล้วพอพระทัย จึงให้มาถวายงานใกล้ชิด ทำหน้าที่เป็นหลวงมหาสิทธิโวหาร และขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้ากรมกองราชเลขาธิการองคมนตรี ในปี พ.ศ.2473-2474

หลังการปฏิวัติของคณะราษฎร สอ เศรษฐบุตร จึงได้ลาออกจากราชการ และถูกจับกุมในเวลาต่อมาพร้อมกับคนที่เคยทำหนังสือพิมพ์ “กรุงเทพเดลิเมล์” ในข้อหาร่วมกันเป็นตัวการพิมพ์ใบปลิวเข้าข้างพวกกบฏ (กบฏบวรเดช) และถูกตัดสินโทษให้จำคุกตลอดชีวิตในฐานกบฏ

ในระหว่างอยู่ในคุกบางขวาง แดน 6 ที่ห้องขังหมายเลข 38 แล้ววันหนึ่ง เขาก็รับทราบข่าวที่บั่นทอนความหวังที่จะได้รับการปล่อยตัว คือ ข่าวการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

สอ เศรษฐบุตร จึงใช้เวลาและความรู้ของเขาให้เกิดเป็นรายได้ ด้วยงานเขียน Dictionary

งานเขียนพจนานุกรมนี้ต้องแอบทำไม่ให้ผู้คุมตรวจจับได้ มารดาของ สอ เศรษฐบุตร เป็นคนจัดการหาตำรา และเครื่องเขียนต่างๆ มาให้ นักโทษการเมืองต่างให้ความร่วมมือ โดย สอ เศรษฐบุตร เป็นผู้บอกคำศัพท์จากมันสมองออกมาอย่างรวดเร็ว อีกคนมีหน้าที่จดลงสมุดด้วยดินสอ อีกฝ่ายทำการตรวจทานและคัดลอกใหม่ให้สะอาดสวยงาม พร้อมที่จะนำออกตีพิมพ์ ใต้เพดานที่ถูกเจาะเป็นช่องสำหรับเก็บของ เวลาในแต่ละวันจัดไว้อย่างดี ในตอนเช้าเริ่มงานเขียนพจนานุกรมตั้งแต่ 07.30 น. พักรับประทานอาหาร บ่ายเริ่มเขียนอีกครั้ง 14.30-17.00 น.

เมื่อเขียนมาได้ถึงตัว S วันหนึ่งมีคำสั่งให้ย้ายนักโทษทางการเมืองทั้ง 70 คน ไปที่เกาะตะรุเตา

ที่เกาะตะรุเตาผู้คุมอนุญาตให้ปลูกกระท่อม สอ เศรษฐบุตร เลือกปลูกกระท่อมอยู่คนเดียวทำให้สะดวกขึ้นมากในการเขียนต้นฉบับพจนานุกรมฉบับห้องสมุด เมื่อเขียนต้นฉบับนี้เสร็จจึงจ้างนักโทษการเมืองคนอื่นๆ คัดลอกลงในสมุดด้วยค่าจ้างเล่มละ 1 สลึง และลงมือเขียนฉบับตั้งโต๊ะต่อ

วันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2486 นักโทษการเมืองต้องย้ายไปที่เกาะเต่า ในระหว่างการเคลื่อนย้ายนี้มีการแวะรอรถไฟที่สถานี นักโทษได้เห็นอักษรไทยที่แปลกไป อันเกิดจากแนวคิดของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ยกเลิกพยัญชนะที่มีรากจากบาลีสันสกฤตออก

และจุดนี้ทำให้ สอ เศรษฐบุตร ได้รู้ว่า ชื่อบนปกพจนานุกรมที่พิมพ์จำหน่ายของเขาได้เปลี่ยนไปเป็น “สอ เสถบุตร”

จึงได้ยึดชื่อนี้มาตลอดไม่ได้เปลี่ยนกลับ

จนกระทั่ง 20 ตุลาคม พ.ศ.2487 จึงได้รับการปล่อยตัว เมื่อมีการขอพระราชทานอภัยโทษ ในสมัยนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี

นอกเหนือจากพจนานุกรม สอ เสถบุตร ในระหว่างที่อยู่ในคุกบางขวางยังเขียนบทความไปลงหนังสือ “บางกอกไทมส์” หนังสือนวนิยาย “พ.ศ. 2481” บันทึกอัตประวัติ “จำเลยสารภาพ” และบทความที่เขียนไปลงเป็นประจำในหนังสือ “น้ำเงินแท้” ก็ล้วนแต่ถูกเขียนจากในคุกส่งออกมาสู่ผู้อ่าน

นอกจากนั้นยังเคยรับตำแหน่งผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ “ศรีกรุง” ตามข้อเสนอของ นายมานิต วสุวัต ต่อมาร่วมกันตั้งหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษขึ้นชื่อว่า Liberty และเป็นบรรณาธิการ ต่อมายังได้ออกนิตยสารรายสัปดาห์ชื่อ Leader ที่มีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยในฉบับเดียว โดยคอลัมน์ความยอกย้อนซ่อนเงื่อนของภาษาเป็นที่สนใจอย่างสูง เพราะ สอ เสถบุตร ตอบปัญหาให้ผู้อ่านที่สงสัยเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ

สอ เสถบุตร เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองลงสมัครรับเลือกผู้แทนราษฎร จังหวัดธนบุรี ในนามพรรคก้าวหน้า ซึ่งก่อตั้งร่วมกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ม.ร.ว.นิมิตมงคล นวรัตน์ ม.จ. สิทธิพร กฤดากร นายหลุย คีรีวัต ฯลฯ ต่อมารวมกับพรรคประชาธิปไตยแล้วใช้ชื่อว่า “พรรคประชาธิปัตย์”

เมื่อ สอ เสถบุตร อายุได้ 47 ปี จึงแก้ไขปรับปรุงพจนานุกรมของเขาและจัดพิมพ์จำหน่ายเองทั้งหมด

ในระหว่างนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์จะซื้อพจนานุกรมฉบับตั้งโต๊ะของสอที่กำลังขาดตลาด

สำนักพิมพ์หลายแห่งเมื่อทราบเข้า จึงพากันมาติดต่อขอเป็นผู้พิมพ์ สอ เสถบุตร ได้เลือกร้านวรรธนะวิบูลย์เป็นผู้จัดจำหน่าย โดยเขาเป็นผู้จัดพิมพ์เอง

ทำให้ได้รับเงินก้อนใหญ่มาปรับปรุงโรงพิมพ์ หนังสืออื่นที่ สอ เสถบุตร เขียนในช่วงนั้น ได้แก่ “ไปนอก” “อังกฤษสำเร็จรูป”

ในปี พ.ศ.2507 สอ เสถบุตร เขียนพจนานุกรมอีกครั้งโดยเขียนที่บ้านชายทะเล เดือนมีนาคม 2508 จึงเขียนและพิมพ์พจนานุกรม New Model Thai – English Dictionary (Library Edition) เสร็จพร้อมออกจำหน่าย และปีต่อมาพจนานุกรม New Model English – Thai Dictionary (Desk Edition) ก็ออกตามมา และได้จำหน่ายลิขสิทธิ์ทั้งหมดให้กับสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชในที่สุด

โดย สอ เสถบุตร เสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ.2513

พัชรพิมพ์ เสถบุตร

นางพัชรพิมพ์ เสถบุตร ลูกสาวของ สอ เสถบุตร กล่าวว่า นอกเหนือจากพจนานุกรม อยากให้คนไทยรู้ว่า สอ เสถบุตร เป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมือง เป็นตัวอย่างของบุคคลสำคัญ ในขณะที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่ไม่มีความท้อแท้หรือสิ้นหวัง กลับลุกขึ้นสู้ พร้อมใช้เวลาที่ถูกจำคุกทั้งชีวิตทำให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและสังคมและประเทศให้มากที่สุด

“คุณงามความดีและคุณูปการหรือผลงานของ สอ เสถบุตร สะท้อนความคิดทางการเมือง ประวัติศาสตร์และสังคม รวมทั้งยังเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ ดังนั้น ย่อมมีค่าและควรเก็บเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ พจนานุกรมฉบับดั้งเดิมของ สอ เสถบุตร มีคุณประโยชน์ในการใช้ภาษา สามารถอธิบายความหมายของคำในรูปประโยคในบริบทของคนไทยให้เห็นภาพได้ นอกจากนั้นยังสะท้อนให้เห็นสภาพประวัติ ศาสตร์ ปรัชญา และการเมืองในสมัยนั้นไว้ได้ด้วย ดังนั้น จึงควรอนุรักษ์พจนานุกรมของ สอ เสถบุตร ในฉบับดั้งเดิม เป็นมรดกของคนไทยไว้ด้วย” นางพัชรพิมพ์กล่าวทิ้งท้าย

จวบจนทุกวันนี้ชื่อ สอ เสถบุตร ยังเป็นที่ระลึกถึงทั้งในฐานะผู้แต่งพจนานุกรมที่ดีที่สุด และในฐานะบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เจ้าของประวัติชีวิตการต่อสู้อันเข้มข้นน่าศึกษา

อาจมีผู้เขียนพจนานุกรมที่เชี่ยวชาญในหลักไวยากรณ์ สำนวน และวิธีการใช้คำอังกฤษ ตลอดจนรอบรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธ รรมของชนชาตินี้นับพันนับหมื่นคน

แต่มีบุคคลเพียงหนึ่งเดียวที่มุ่งมั่นเขียนพจนานุกรม ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานะนักโทษการ เมืองที่ไร้ทั้งอิสรภาพและความสะดวกสบาย

เขาคือ “สอ เสถบุตร”

 

พจนานุกรมชีวิต : สอ เสถบุตร

คัดลอกบางส่วนจากนิตยสารสารคดี ฉบับพิเศษ ปีที่ 17 ฉบับที่ 206 เดือน เมษายน 2545

เรื่องโดย ศรัณย์ ทองปาน

E examine

I have got through my examination. ฉันได้สอบไล่เสร็จไปแล้ว

ด้วยความเชื่อมั่นในความรู้ภาษาอังกฤษของตนเอง สอ เศรษฐบุตรจึงตัดสินใจสอบแข่งขันชิงทุนเพื่อไปเรียนต่อเมืองนอก ปีแรก ขณะเมื่อสำเร็จเพียงมัธยม ๗ เขาสอบได้ทุนของกรมรถไฟ แต่แพทย์ผู้ตรวจร่างกายลงความเห็นว่า ตัวเล็กและไม่แข็งแรงพอจะทนทานต่ออากาศหนาวได้ ปีต่อมา เขาเข้าสอบชิงทุนคิงสกอลลาชิป หรือทุนเล่าเรียนหลวง ซึ่งผู้ที่สอบไล่ชั้นมัธยม ๘ ได้เป็นอันดับ ๑ และ ๒ ของประเทศจะเลือกไปเรียนวิชาอย่างใดก็ได้ตามใจสมัคร ก่อนสอบ สอเกิดป่วยเป็นไข้หวัด ทว่าก็ยังฝืนไปสอบ ครั้งนี้ เขาสอบได้ที่ ๓ จึงไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับพระราชทานทุน สอต้องเรียนซ้ำชั้นมัธยม ๘ อีกปีหนึ่ง เพื่อเข้าสอบชิงทุนอีกครั้ง

พัฒน์ เนตรรังษี หรือ พ. เนตรรังษี นักเขียนผู้เป็นที่รู้จักกันดีจากเรื่องชุด เด็กบ้านสวน คุ้นเคยกับสอมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยเหตุที่บ้านอยู่ใกล้กัน เขาเล่าว่าสอนั้น “…ผอมเกร็งมาแต่เด็ก ๆ แต่ก็ไม่ใช่คนขี้โรค ถ้าเทียบตามส่วนของร่างกาย รู้สึกว่าศีรษะเขาจะโตกว่าธรรมดาสักหน่อย จะด้วยเหตุนี้หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ จึงได้เรียนหนังสือเก่งนัก สอบได้ที่หนึ่งที่สองเสมอ….”

หลังจากการสอบชิงทุนครั้งหลังไม่นาน พัฒน์ได้พบกับสอเพื่อนเก่าในตอนบ่ายวันหนึ่ง

พัฒน์พบเขาระหว่างทางขากลับจากโรงเรียน ดูหน้าตาเศร้าหมองเต็มที จึงถามว่าการสอบคราวนี้เป็นอย่างไร

“แย่” เป็นคำตอบสั้น ๆ

“กลัวพลาดไปนอกหรือ ?” พัฒน์ถาม

“อะไรไปนอก” เขาเงยหน้ามอง ดูเหมือนมีน้ำตาคลออยู่ในเบ้าตา

“อย่าหวังเลยเรื่องไปนอก แค่สอบผ่านชั้น ๘ ก็คงไม่ได้”

“อ้าว ! เป็นขนาดนั้นเชียวหรือ ?”

“ทำพลาดหลายวิชา พลาดอย่างไม่น่าเป็นไปได้”

เขาส่ายหน้าท้อแท้ แล้วก็เดินงุด ๆ กลับบ้าน

แต่เมื่อประกาศผลสอบประจำปี พ.ศ. ๒๔๖๓ ผลออกมาว่าสอสอบได้ที่ ๒ จึงมีสิทธิได้รับพระราชทานทุนเล่าเรียนหลวงให้ไปเรียนต่อ แต่ปัญหาก็ยังมีอยู่ว่าเขาจะเลือกเรียนวิชาใดดี

สอกลายเป็นหนุ่มน้อยเนื้อหอม ผู้ใหญ่ในกรมอากาศยานทหารบกได้มาชักชวนให้เขาเลือกเรียนวิชาช่างเครื่องบินเพื่อกลับมาสร้างเสริมกรม ฝ่ายกระทรวงเกษตราธิการ ท่านเสนาบดีได้กรุณามาพบเขาถึงบ้าน และสัญญากับเขาว่า หากเขาอยากจะเป็นอธิบดีกรมทดน้ำ (กรมชลประทาน) ก็ให้คว้าปริญญาทางการทดน้ำมาเป็นคนแรก หรือไม่เช่นนั้น หากเป็นคนแรกที่จบปริญญาทางวิชาเหมืองแร่มา ก็มีหวังว่าจะได้เป็นอธิบดีกรมโลหะกิจ (กรมทรัพยากรธรณีในปัจจุบัน) เช่นเดียวกัน

ในที่สุด สอ เศรษฐบุตร ตัดสินใจเลือกเรียนวิชาธรณีวิทยาและการเหมืองแร่

 

F far

I shall not be far from you for long.

ฉันจะไม่ไกลจากเธอไปนานนัก

ภาพจากนิตยสารสารคดี

หลังจากใช้เวลาเดินทาง ๔๘ วันในตอนกลางปี พ.ศ. ๒๔๖๔ สอก็เดินทางถึงประเทศอังกฤษ เขาสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ได้ภายในเก้าเดือน และเพียงอีกสามปีต่อมา เขาก็สำเร็จปริญญาทางธรณีวิทยา [B.Sc. (HONS.)] และได้เป็นสมาชิกของสมาคมธรณีวิทยา (F.G.S. – Fellow of the Geological Society)

ตั้งแต่ก่อนหน้าเดินทางไปเรียนต่อ สอมีสาวน้อยในดวงใจอยู่แล้ว สิ่งที่เขาได้ผ่านพบ การเล่าเรียน ชีวิตนักเรียนไทยในอังกฤษ ตลอดถึงรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ในชีวิต แม้แต่ความฝัน ได้ถูกบันทึกไว้ในจดหมายถึงมิตรหญิงทางเมืองไทยจำนวนหลายสิบฉบับ แม้ว่าต่อมา โชคชะตาจะพัดพาให้เธอได้แต่งงานไปกับบุรุษอื่น แต่สุภาพสตรีท่านนั้น ก็ยังคงเก็บจดหมายของสอไว้เป็นเวลาเกือบ ๖๐ ปี ด้วยความรู้สึกพิเศษที่คงมีเพียงเขาและเธอจะล่วงรู้ จนภายหลังจากที่ “เขา” ถึงแก่กรรม “เธอ” จึงนำมันมามอบให้แก่ครอบครัวของสอ

ตัวอย่างความในใจของเขานั้น อาจเห็นได้จากจดหมายลงวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๕

“คิด ๆ ดูก็น่าปลื้มใจ ที่อีกชั่วเวลาราว ๓ ปีเท่านั้น ฉันก็สามารถจะกลับไปเห็นหน้าเธอได้ แล้วต่อจากนั้น เราก็จะไม่ต้องพลัดพรากจากกันอีก แม้เธอจะอยู่ห่างไกล และฉันต้องจากเธอไปนานเท่าใดก็ตาม เธอจะแลเห็นว่าจิตรใจของฉันมิได้เปลี่ยนแปลงเลย”

หากแต่ความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ก็กำลังตั้งเค้าขึ้น สอเล่าไว้ในจดหมายฉบับวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ว่า

“…ฉันทราบมาว่าพวกนักเรียนไทยที่ฝรั่งเศสเขาชุมนุมกันเสมอ นัยว่าจะมีการคบคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นดีมอคเครซี แต่พวกนี้ออกจะหัวรุนแรงมาก ฉันเกรงไปว่ามันจะไม่ใช่ดีมอคเครซีน่ะซิ….”

ในขณะที่สอกำลังศึกษาต่อระดับปริญญาโท ที่ School of Mines ทางราชการได้เรียกตัวเขากลับ เพื่อให้มารับช่วงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญประจำกรมโลหะกิจและภูมิวิทยาแทนที่ปรึกษาชาวอังกฤษที่ทำงานมาครบกำหนดสัญญา

สอ เศรษฐบุตร จึงเดินทางกลับมาถึงประเทศสยามในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๙

 

G garter

The King gartered him.

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งให้เขาเป็นขุนนาง

ตั้งแต่ยังศึกษาอยู่ในอังกฤษ สอ เศรษฐบุตร มีความสนใจในงานหนังสือพิมพ์มาก เขาทำหน้าที่เป็นเลขานุการของสามัคคีสมาคม ซึ่งเป็นสมาคมนักเรียนไทยในอังกฤษ ทั้งยังรับหน้าที่เป็นบรรณาธิการของ สามัคคีสาร นอกจากนั้น เขายังสรุปข่าวต่างประเทศในรอบสัปดาห์ส่งให้แก่หนังสือพิมพ์ไทย และเขียนบทความภาษาอังกฤษมาลงใน Bangkok Times และ Bangkok Daily Mail เป็นประจำ เพื่อเป็นรายได้จุนเจือครอบครัวทางเมืองไทย

แม้จนเมื่อกลับมารับราชการแล้ว งานเขียนต่าง ๆ ของสอก็ยังคงมีปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะบทความที่ใช้นามปากกาว่า Nai Nakorn (นายนคร) ของเขา ที่ลงพิมพ์ใน Bangkok Daily Mail

ทัศนะของนายนครเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก ถึงกับโปรดให้สืบหาตัวผู้เขียน และเมื่อทราบว่าเป็นข้าราชการในกรมโลหะกิจและภูมิวิทยา กระทรวงเกษตราธิการ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โอนมารับราชการในกรมราชเลขาธิการแทน ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๑

จุดสูงสุดในชีวิตราชการของสอมาถึงตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๓๐ ปี ได้แก่ชั้นยศเสวกโท ซึ่งเป็นยศของข้าราชการพลเรือนเทียบเท่านายพันโท กับได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงมหาสิทธิโวหาร เจ้ากรมกองเลขาธิการองคมนตรี สังกัดกรมราชเลขาธิการ นอกจากนั้น หลวงมหาสิทธิโวหาร ยังได้รับราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทในหน้าที่ต่างๆ ที่ทรงพระกรุณาฯ อีกหลายประการ เช่นไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ไทย ของกรมพระคลังข้างที่ ซึ่งถือเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ดังนั้น เมื่อการยึดอำนาจของคณะราษฎรมาถึง ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ หลวงมหาสิทธิฯ ก็ย่อมถูก “หางเลข” ไปด้วยอย่างเต็มที่

เริ่มจากการถูกสอบสวน แล้วย้ายไปเป็นรองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ต่อมาอีกไม่กี่เดือน ก็ถูกโยกกลับไปถิ่นเดิมคือกรมโลหะกิจอีกครั้งหนึ่ง

แม้ว่าเมื่อสิบปีก่อน เขาจะเคยรู้จักมักคุ้นกับหลายคนในคณะผู้ก่อการฯ ซึ่งก็คือนักเรียนไทยในฝรั่งเศสที่เขาเคยกล่าวถึงไว้ในจดหมาย แต่ในวันที่กระแสการเมืองกำลังเชี่ยวกรากเยี่ยงนั้น หลวงมหาสิทธิโวหารเล็งเห็นว่าคงเอาดีในทางราชการได้ยาก จึงตัดสินใจลาออกในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๗๕

หลังจากลาออกได้ไม่ถึงเดือน ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมก่อตั้งโรงเบียร์ของบุญรอดบริวเวอรี อันเป็นกิจการของพระยาภิรมย์ภักดี (บุญรอด เศรษฐบุตร) ที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน โดยมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการหนึ่งในห้าคนของบริษัท ทั้งยังคงเขียนบทความโจมตีรัฐบาลใหม่ในหน้ากระดาษของ Bangkok Daily Mail อยู่เนือง ๆ

 

อ่านเนื้อหาเต็มที่นี่ นิตยสารสารคดี ฉบับพิเศษ ปีที่ 17 ฉบับที่ 206 เดือน เมษายน 2545